วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติ Aston Martin

     


        
          แอสตันมาร์ตินก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2456 โดย ลีโอเนล มาร์ติน และโรเบิร์ต แบมฟอร์ด (Robert Bamford) โดยก่อนหน้านั้นหนึ่งปี ได้ตั้งบริษัท Bamford & Martin เพื่อจำหน่ายรถยนต์ที่ผลิตโดย ซิงเกอร์ (Singer) ในกรุงลอนดอน โดยนอกจากรถซิงเกอร์แล้ว ยังมีการให้บริการบำรุงรักษารถจีดับเบิลยูเค และรถคัลธอร์ป (Calthorpe) ด้วย
ลีโอเนล มาร์ติน ร่วมลงแข่งรถที่เนินแอสตัน ใกล้กับหมู่บ้านแอสตันคลินตัน และได้ตัดสินใจที่จะสร้างรถยนต์ขึ้นมาเอง รถยนต์คันแรกใช้ชื่อว่าแอสตันมาร์ติน สร้างโดยมาร์ติน โดยประกอบเครื่องยนต์ Coventry-Simplex แบบสี่สูบเข้ากับโครงรถ Isotta-Fraschini รุ่นปี พ.ศ. 2451 ต่อมาพวกเขาตั้งบริษัทขึ้นที่ Henniker Place ในเมืองเคนซิงตัน และผลิตรถยนต์คันแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2458 แต่สายการผลิตรถแอสตันมาร์ตินนั้นไม่ได้เกิดขึ้น เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และทั้งคู่เข้าร่วมรบกับกองทัพของอังกฤษ เครื่องจักรทั้งหมดจึงถูกขายให้กับ Sopwith Aviation Company
         


         
        
          หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสงบลง ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นใหม่ที่ Abingdon Road ในเมืองเดิมคือเมืองเคนซิงตัน และได้มีการออกแบบรถขึ้นมาใหม่ในชื่อแอสตันมาร์ตินเหมือนเดิม แบมฟอร์ดถอนตัวจากบริษัทในปี พ.ศ. 2463 และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก Count Louis Zborowski ในปี พ.ศ. 2465 ได้เริ่มมีการผลิตรถเพื่อใช้สำหรับแข่งขัน และได้มีการสร้างสถิติต่างๆ ขึ้นด้วยรถดังกล่าวที่สนามบรูกแลนด์ส
ต่อมาในปี พ.ศ. 2467 บริษัทเกิดล้มละลาย และเลดีชาร์นวูด (Lady Charnwood) เข้าซื้อกิจการ แต่ก็ล้มละลายอีกครั้งในปีถัดมา โรงงานของแอสตันมาร์ตินปิดตัวไปในปี พ.ศ. 2469 พร้อมกับการที่ลีโอเนล มาร์ติน ถอนตัวออกจากบริษัท
ในปีเดียวกัน บิล เร็นวิค, ออกุสตัส (เบิร์ท) เบอร์เทลลี และนักลงทุนอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งเลดีชาร์นวูดด้วย ได้ร่วมกันเป็นหุ้นส่วนในบริษัท และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นแอสตันมาร์ตินมอเตอร์ส และย้ายบริษัทไปยังที่ตั้งเดิมของ Whitehead Aircraft Limited works ในเมืองเฟลแธม (Feltham)
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2475 บริษัทมีปัญหาทางด้านการเงินอีกครั้ง และได้ L. Prideaux Brune เข้ามาร่วมลงทุน ก่อนที่บริษัทจะเป็นของเซอร์อาเธอร์ ซัทเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2479
มีการผลิตรถแอสตันมาร์ตินประมาณ 700 คัน ก่อนเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สอง และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินโดยแอสตันมาร์ติน



        
          บริษัท David Brown Limited ที่มีเดวิด บราวน์ เป็นเจ้าของบริษัท เข้าซื้อกิจการแอสตันมาร์ตินในปี พ.ศ. 2490 และในปีเดียวกันบริษัทของบราวน์ก็ได้ซื้อบริษัทรถยนต์ลากอนดา จึงได้นำทั้งสองบริษัทมาควบรวมกิจการกัน ซึ่งชื่อรถแอสตันมาร์ตินที่ใช้อักษร "DB" นี้ก็มีที่มาจากชื่อของบราวน์นั่นเอง
ในปี พ.ศ. 2493 บริษัทได้ออกรถรุ่น ดีบี2 และได้ผลิตรถรุ่นดีบี มาร์คทรีและรถแข่งรุ่น ดีบี3 ในปี พ.ศ. 2500 จากนั้นในปีต่อมาก็ได้ผลิตรุ่น ดีบี4 ต่อจากนั้นก็ได้มีรุ่น ดีบี5 ในปี พ.ศ. 2506, ดีบี6 (พ.ศ. 2508-13) , ดีบีเอส และดีบีเอส วี8 (พ.ศ. 2510-15, ภายหลังจากการขายบริษัทของเดวิด บราวน์ จึงย่อชื่อรุ่นลงเป็นแอสตันมาร์ติน วี8)
ในปี พ.ศ. 2515 บริษัทมีปัญหาทางด้านการเงินอีก เดวิด บราวน์จึงขายกิจการแอสตันมาร์ตินออกไป ทำให้ไม่มีรถที่ชื่อรุ่นดีบีใดๆ อีก โดยจะเป็นรถชื่ออื่นแทน และหลังจากนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งฟอร์ดเริ่มเข้าถือหุ้น


          ฟอร์ดได้อำนาจควบคุมบริษัทแอสตันมาร์ตินในปี พ.ศ. 2534 และในปี พ.ศ. 2536 ก็มีการนำชื่อดีบีนี้มาใช้อีกครั้ง เป็นรุ่น ดีบี7
ในขณะที่แอสตันมาร์ตินเป็นกิจการของฟอร์ด ฟอร์ดได้นำเอาแอสตันมาร์ตินเข้าไปรวมอยู่ใน Premier Automotive Group ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจของฟอร์ด


          เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2550 กลุ่มนักลงทุนนำโดยเดวิด ริชาร์ดส์ ผู้บริหารของโปรไดรฟ์ (Prodrive) เข้าซื้อหุ้นในกิจการแอสตันมาร์ติน โดยฟอร์ดจะขายหุ้นของแอสตันมาร์ตินมูลค่า 479 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือ 848 ล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าหุ้นทั้งหมด 925 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยทางโปรไดรว์ไม่สามารถจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวได้ทั้งหมด และแบ่งกันซื้อหุ้นกับจอห์น ซินเดอร์ส และบริษัทลงทุนสัญชาติคูเวตอีกสองบริษัท คือ Investment Dar และ Adeem Investment Co. ส่วนฟอร์ดจะยังคงถือหุ้นส่วนที่เหลือ มูลค่า 77 ล้านเหรียญสหรัฐ



ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล: wikipedia

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น